Sunday, September 06, 2015

THE LAST REEL (2014, Kulikar Sotho, Cambodia, A+30)

THE LAST REEL (2014, Kulikar Sotho, Cambodia, A+30)

--ดูแล้วร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรงมาก ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความดีหรือไม่ดีของหนังแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าหนังมัน “โดน” เรามากๆเท่านั้นเอง

--ชอบที่ตัวละคร 3 ตัวในหนังเรื่องนี้ ซึ่งได้แก่ พ่อนางเอก, แม่นางเอก และคนฉายหนัง ต่างก็เต็มไปด้วย “ความคับแค้นใจที่ยากจะบอกกล่าว” คือตัวละคร 3 ตัวในหนังเรื่องนี้มันมีอดีตที่สาหัสมากๆน่ะ และพอหนังมันค่อยๆเผยอดีตของตัวละครแต่ละตัวออกมาจนถึงช่วงท้ายเรื่อง มันถึงส่งผลกระทบทางอารมณ์ต่อเราอย่างมากๆ

--อีกสิ่งที่ชอบสุดๆในหนังเรื่องนี้ คือการที่ตัวละครแต่ละตัวพยายามสร้างตอนจบที่แตกต่างกันไปให้กับหนังเรื่อง THE LONG WAY HOME น่ะ  เราว่ามันเป็นการเล่นกับ “หนังซ้อนหนัง” ได้อย่างสนุกและเข้าทางเรามากๆ เพราะเวลาที่เราดูหนังหลายๆเรื่อง เราก็ชอบจินตนาการ alternate ending ให้กับหนังแต่ละเรื่องด้วยเหมือนกัน และพอ THE LAST REEL มันเล่นกับประเด็นเรื่อง alternate ending ในความเห็นของตัวละครแต่ละตัว มันก็เลยเข้าทางเรามากๆ

จริงๆแล้วเราว่าถ้าหากหนังเรื่องนี้ไม่ทำเป็นเมโลดราม่าแบบนี้ มันสามารถดัดแปลงเป็นหนังแนว Alain Resnais หรือ Raoul Ruiz ได้เลยนะ เพราะหนังเรื่องนี้มันตัดสลับระหว่างอดีตกับปัจจุบันบ่อยครั้งมาก, มีการแทนที่นางเอกกับแม่นางเอก, มีการเล่นเรื่อง corrosive power of memory ซึ่งอะไรแบบนี้มันสามารถดัดแปลงเป็นหนังแนว Alain Resnais ได้ นอกจากนี้ การที่หนังเรื่องนี้เล่นเรื่อง “หนังซ้อนหนัง” , “หนังสะท้อนชีวิตจริง”, และ “หนังเรื่องเดียวกัน แต่มีตอนจบหลายเวอร์ชั่น” อะไรแบบนี้ มันก็เลยทำให้เรานึกถึงหนังที่เล่นกับ “โครงสร้างซับซ้อน” แบบหนังของ Raoul Ruiz ด้วย

--แต่ปัจจัยที่ทำให้เราร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรงกับหนังเรื่องนี้ มันไม่ได้เกิดจากหนังเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว แต่มันเป็นเพราะว่าเราเคยดูหนังสารคดีเกี่ยวกับเขมรแดงมาก่อนหน้านี้แล้วหลายเรื่องด้วยแหละ คือพอเวลาที่เราดูหนังสารคดีเหล่านั้น เราได้ซึมซับเอาเรื่องราวความโหดร้ายของเขมรแดงและความทุกข์ยากของประชาชนในยุคนั้นเอาไว้เยอะมาก แต่หนังสารคดีพวกนั้นเป็นหนังสารคดีชั้นดี ที่ไม่ต้องการทำให้ผู้ชมร้องไห้ คือหนังสารคดีพวกนั้นมันไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่ออยากบีบน้ำตาผู้ชมไง พอเวลาที่เราดูสารคดีพวกนั้น เราก็เลยเหมือนกักเก็บเรื่องราวความทุกข์ของผู้คนเอาไว้เรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ โดยไม่เคยระบายมันออกมาทางน้ำตาเลย

แต่พอ THE LAST REEL พูดถึงประเด็นเดียวกัน เหตุการณ์เดียวกัน แต่ทำมันออกมาเป็นเมโลดราม่า มันก็เลยเหมือนความทุกข์ที่เราเก็บสะสมไว้นานแล้วจากหนังสารคดีหลายเรื่องที่เราเคยดูก่อนหน้านี้ มันได้รับการระบายออกมาเป็นน้ำตาด้วย คือการร้องไห้ของเราไม่ได้เป็นเพราะว่าเราอินกับตัวละครในหนังเรื่อง THE LAST REEL เท่านั้น แต่มันเป็นเพราะว่า THE LAST REEL ทำให้เรานึกถึง S21: THE KHMER ROUGE KILLING MACHINE (2003, Rithy Panh), THE MISSING PICTURE (2013, Rithy Panh), CAMBODIA, AFTER FAREWELL (2012, Iv Charbonneau-Ching), ENEMIES OF THE PEOPLE (2009, Rob Lemkin + Thet Sambath), ABOUT MY FATHER (2010, Guillaume Suon), GOLDEN SLUMBER (2011, Davy Chou) และ THE KILLING FIELDS  (1984, Roland Joffé) ด้วย


เราก็เลยรู้สึกว่า THE LAST REEL มันน่าสนใจดี เพราะพลังของมันไม่ได้เกิดจากตัวมันโดดๆเท่านั้น แต่การที่มันส่งผลกระทบกับเราได้อย่างรุนแรงแบบนี้ เพราะมันมีความสัมพันธ์ (โดยไม่ได้ตั้งใจ) กับหนังสารคดีจำนวนมากที่ได้รับการผลิตออกมาก่อนหน้านี้ด้วย

No comments: